วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ขนมจีนน่ากินจัง

                ถึงแม้ว่าขนมจีนจะไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกๆ ของคนรักสุขภาพ เพราะเส้นขนมจีนทำจากการหมัก อาจไม่ใช่อาหารที่ “คลีน” สักเท่าไร แต่ก็มีหลายคนติดอกติดใจในรสชาติของอาหารเมนูนี้ และทดแทนด้วยการทานกับผักนานาชนิดแทน
ว่าแต่ น้ำยาแบบไหนที่ให้พลังงานแคลอรี่มากที่สุดกันนะ ลองมาเดาเล่นๆ กันดูนะคะ

1. ขนมจีนน้ำยาป่า
จำนวนแคลอรี่ต่อปริมาณ 100 กรัม :  65 kcal
หากใครชอบน้ำยาป่า ขอปรบมือให้เลย คุณเป็นผู้โชคดีที่ชอบขนมจีนน้ำยาที่ให้พลังงานน้อยที่สุด เราจะเห็นว่าน้ำยาป่าค่อนข้างใส และใส่กะทิค่อนข้างน้อยย จึงเป็นเหตุให้ปริมาณแคลอรี่ไม่น่าตกใจเท่าที่ควรนั่นเอง แต่โปรดหลีกเลี่ยงน้ำยาป่าที่มีรสชาติเค็มจัดนะคะ เพราะโซเดียมคงจะสูงน่าดู

2. ขนมจีนน้ำยากะทิ
จำนวนแคลอรี่ต่อปริมาณ 100 กรัม :  81 kcal
เมื่อปริมาณกะทิเพิ่มขึ้น พลังงานก็เพิ่มตาม แต่สำหรับน้ำยากะทิที่มีเนื้อสัตว์อย่างปลาเป็นส่วนผสมหลัก ก็พอไหวอยู่นะ แถมยังมีแป้งจากลูกชิ้นอีกแค่ลูกสองลูก เอาน่ายังพอไหว

3. ขนมจีนน้ำเงี้ยว
จำนวนแคลอรี่ต่อปริมาณ 100 กรัม :  84 kcal
ตามมาติดๆ สำหรับน้ำยาสุดอร่อยจากภาคเหนือ ถึงแม้เครื่องจะเยอะจะทนเลือกทานไม่หวาดไม่ไหว ทั้งเลือด ทั้งหมูสับ มะเขือเทศ และกระเทียมเจียว แต่ด้วยตัวน้ำยาที่เป็นน้ำใสๆ ก็เลยไม่ได้มีปริมาณพลังงานมากอย่างที่เห็น

4. ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้
จำนวนแคลอรี่ต่อปริมาณ 100 กรัม :  85 kcal
พลังงานคู่คี่สูสีสำหรับน้ำยารสชาติเข้มข้นสุดอร่อยจากภาคใต้ น้ำยาปักษ์ใต้น้ำไม่ข้น ออกใสๆ และหนักไปทางเค็มมากกว่า ดังนั้นพลังงานอาจจะไม่สูงมาก ยิ่งทานกับผักสดกรอบๆ ยิ่งแซ่บ แต่ระมัดระวังเรื่องรสชาติกันด้วยนะคะ เพราะเค็มจัดเผ็ดจัดจริงๆ


5. ขนมจีนซาวน้ำ
จำนวนแคลอรี่ต่อปริมาณ 100 กรัม :  120 kcal
พอเริ่มได้ความหวานมันจากกะทิเข้มข้นขึ้นมา พลังงานก็เพิ่มตามอย่างไม่ต้องสงสัย เครื่องก็มากมายทั้งน้ำปลา กุ้งแห้ง สับปะรด มะนาว มะดัน กระเทียม ขิง พริก และไข่ต้ม แหม...แบบนี้ไม่ให้อร่อยเพลินจนลืมแคลอรี่ได้ยังไงเนอะ

6. ขนมจีนน้ำพริก
จำนวนแคลอรี่ต่อปริมาณ 100 กรัม :  152 kcal
หวาน... มัน... ถั่ว.. พลังงานมากมายมาจากเครื่องปรุงที่หนักน้ำตาล และ กะทิ นอกจากรสชาติหวานมันนำแล้ว ยังแอบซ่อนเครื่องเอาไว้มากมายที่ทั้งปั่น ทั้งตำ แล้วเราไม่เห็น ไม่น่าแปลกใจเลยที่พลังงานจะมากขึ้นตามไปด้วย

7. ขนมจีนแกงเขียวหวาน
จำนวนแคลอรี่ต่อปริมาณ 100 กรัม :  154 kcal
อันดับสุดท้าย ปิดจ๊อบที่แกงเขียวหวาน ลำพังแกงเขียวหวานอย่างเดียวก็แคลอรี่สูงแล้ว จากเครื่องแกงเขียวหวานเข้มข้น บวกกะทิเป็นถุงๆ ยิ่งหากใส่ไก่ทั้งหนังลงไปด้วย สังเกตผิวหน้าของหม้อที่ใส่แกงเขียวหวาน มันย่องเลยล่ะค่ะ แต่มันก็อร่อยอ่ะเนอะ ทานแต่น้อยละกันค่ะ

ขนมจีนทุกน้ำยามีเอกลักษณ์ของรสชาติที่แตกต่างกัน อร่อยกันได้ทุกแบบ แต่อย่าอร่อยเพลินจนตักเพิ่มบ่อยเกินไป และอย่าลืมออกกำลังกายกันด้วยนะคะ

                                                                                      เบญจมาศ  ทองบุตร
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ภาพประกอบจาก istockphoto



อยากกินกุยช่ายยยยย

                วันนี้แม่โทรมา คุยกันอยู่ดีๆ ก็บอกอยากกินกุยช่าย พูดแล้วน้ำลายมันจะไหล เลยไปหาสูตรในอินเทอร์เน็ต เห็นรูปแล้วมันน่าทานมากๆ เดี๋ยวได้กลับบ้านก่อนนะแม่ จะซื้อไปฝาก




น่ากินจัง 




  ไส้กุยช่าย...

1.กุยช่ายหั่น 3 กก. (หั่นยาวประมาณ 1.5-2ซม)
2.เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
3.น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
4.พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
5.โซเดียมใบคาร์บอเนต 2 ช้อนโต๊ะ(หรือเบคกิ้งโซดา)
( วิธีทำ.. )
ขยำทุกอย่างในกาละมังรวมกัน..ให้กุยช่ายช้ำจนมีน้ำเขียวๆออกมา..พักไว้รอผัด
ตั้งกะทะ..น้ำมันพืช ลง..ผัดเลย
ผัดไฟกลาง จนมีน้ำเขียวๆ ..ออกมา
แล้วลงกระชอนให้สะเด็ดน้ำ..พักไว้..รอห่อ







" ไส้หน่อไม้... "

1.หน่อไม้สับ 1กก.
2.หมูสับ 2ขีดครึ่ง
3.แครอท หั่นแว่นบางๆ 3 ขีด
ปรุงรสตามชอบ



( วิธีทำ... )

ผัดหมูกับน้ำมัน กระเทียมเจียว..
นำหน่อไม้และแครอทที่หั่นไว้ ใส่ลงในกระทะ
ปรุงรสด้วย ซอสถั่วเหลือง (ซีอิ๊วจขาว ตราเด็กสมบูรณ์สูตร 5)
น้ำตาล เกลือ ชูรส
ชิมรสตามชอบ ตักและพักไว้ให้เย็น รอห่อ




" ตัวแป้ง... "
1.แป้งมัน 500 กรัม
2.แป้งท้าว 1 ขีด
3.แป้งข้าวเหนียว ครึ่งขีด
4.แป้งข้าวเจ้า 1 ขีด
5.น้ำเปล่า1.5ลิตร 2 ขวด(ขวดใหญ่สุด)
6.น้ำมันพืช 4 ขีด
7.เกลือ 1 ช้อนชา






( สูตรน้ำจิ้ม... )
1.จิ๊กโซ่ 2 ขวด (ซอสเปรี้ยวตราหัวกวาง) ขวดละ 600 ซีซี
2.น้ำตาลทราย 2 กก.
3.ชีอิ้วดำ ครึ่งขวด.ใหญ่
4.น้ำมันหอย 1 กระปุก (600 ซีซี) ตรานกทะเล
5.น้ำเปล่า 2 กระปุกของน้ำมันหอย
6.เกลือ 200 กรัม
น้ำจิ้มสูตรนี้เก็บได้นาน..ตั้งไฟเคี่ยวให้เดือด..แล้วพักไว้ให้เย็น...ใส่ภาชนะปิดฝา..






                                                                                                           เบญจมาศ  ทองบุตร



Cr.http://thaizza.blogspot.com/2015/06/blog-post_18.html

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

บุญข้าวสาก

                      อรุณสวัสดิ์ยามเช้าค่ะ วันนี้วันศุกร์ ที่ ๑๖ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙  วันนี้เป็นคืนวันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง วันนี้เป็นวันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ และเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง คือวันสารทลาว บ้านที่อำเภอขุขันธ์มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ศรีสะเกษก็มีงานเช่นกัน แต่วันนี้ดิฉันก็ไปโรงเรียนตามปกติ วันนี้ที่วัดพานทา จังหวัดศรีสะเกษ  มีการจัดงาน "ประเพณีบุญข้าวสาก"






                      บุญข้าวสาก หมายถึง บุญที่พระภิกษุสามเณร เพื่อรับปัจจัยไทยทาน และงานวันนี้ได้มีพระสงฆ์จากวัดอื่นๆ มาฉันภัตตาหารร่วมกัน  ชาวบ้าน พุทธศาสนิกชนได้มาร่วมกัน ทำบุญสร้างกุศลให้แก่ตนเองและครอบครัว งานวันนี้ถือเป็นมหาสังฆทานที่ทางวัด และชาวบ้านได้ร่วมกันจัดขึ้น โดยเชิญพระวัดต่างๆมาร่วมงานและร่วมสวดปาติโมกข์ร่วมกัน  ในราววันขึ้น ๑๓-๑๔ ค่ำ เดือนสิบ ชาวบ้านจะเตรียมอาหารชนิดต่างๆ ทั้งข้าว เนื้อ ปลา ข้าวเม่า ข้าวพอง ข้าวตอก ขนม และอาหารคาวหวาน  ผลไม้ต่างๆ และข้าวกระยาสารท ไว้สำหรับทำบุญ








                      ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ หรืองานในวันนี้ ตอนเช้าชาวบ้านนำอาหารคาวหวาน ไปทำบุญตักบาตร ที่วัดพานทาโดยพร้อมเพรียง ถวายทานอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตอนสายชาวบ้านนำข้าวปลาอาหารที่เตรียมไว้ เป็นข้าวสากมาวัดอีกครั้ง จัดเป็นชุดถวายทานหรือถวายเป็นสลากภัต ก่อนที่ถวายแด่พระภิกษุสามเณรืจะกล่าวคำถวายข้าวสาก หรือสลากภัต พร้อมกัน เสร็จพิธีชาวบ้านจะห่อข้าวสากไปวางไว้ตามที่ต่างๆในบริเวณวัด พร้อมจุดธูปเทียนบอกกล่าวให้ญาติ หรือเปรตผู้ล่วงลับมารับอาหาร และส่วนบุญส่วนกุศล







                        จากนั้นมีการฟังเทศน์ฉลองข้าวสาก และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เปรตและญาติผู้ล่วงลับ นอกจากนี้ผู้ที่มีนา จะนำข้าวสากไปเลี้ยง "ตาแฮก" เพื่อให้ตาแฮกรักษาที่นาให้ข้าวอุดมสมบูรณ์ เป็นอันเสร็จพิธีบุญข้าวสาก ในงานวันนี้มีโรงทาน ดิฉันได้ไปร่วมงานในตอนบ่าย ได้รับประทานอาหารคาวหวาน ผลไม้ ไอศกรีม และได้ช่วยเก็บของเก็บโต๊ะ ถ้วยชาม ทำความสะอาดบริเวณวัด นับว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของดิฉัน ขอให้บุญกุศลนี้ไปถึงเจ้ากรรมนายเวร เทวดา และสัพสัตว์ทั้งหลายขอทุกท่านจงประสบแก่ความสุขด้วยเทอญ สาธุ ฯ



                                                                                                   เบญจมาศ ทองบุตร






กายภาพบำบัด

                     วันนี้อยู่ห้องทั้งวัน เวลา 17:00 พี่เอื้อยพี่หอเดียวกันให้พาไปโรงพยาบาล ให้ขับรถให้ พี่จะไปทำกายภาพบำบัด พี่แกเจ็บหลังอย่างหนักรักษานานแล้วยังไม่หาย ไปถึงก็ขึ้นเตียงให้คุณหมอดูอาการ จากนั้นเราก็นั่งรอจนเวลาผ่านไป หนึ่งชั่วโมงครึ่ง  พี่ออกมาจากห้องตรวจ พาพี่กลับห้อง             ข้อสงสัยคือ กายภาพบำบัดคืออะไร ?


กายภาพบำบัดคืออะไร








                    กายภาพบำบัดคือ วิชาชีพสาขาหนึ่งทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพของประชาชน ทั้งในแง่ของการส่งเสริม, ป้องกัน, รักษา และฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและจิตใจโดยใช้วิธีตามหลักวิทยาศาสตร์และการใช้ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางกายภาพบำบัดโดยมีเป้าหมายให้ประชาชนมีสุขภาพและมี ความสามารถในการทำงานของร่างกายอย่างเต็มที่
กายภาพบำบัดเรียนอะไร
                     นักกายภาพบำบัดเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยใช้เวลาศึกษาทั้งสิ้น 4 ปี  ในช่วงปีแรกศึกษาวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เช่น ชีววิทยา, เคมี, แคลคูลัส และวิชาทางสังคมศาสตร์, มนุษยศาสตร์, ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ สำหรับในปีที่ 2 - 4 ศึกษาในหมวดวิชาชีพ เช่น กายวิภาคศาสตร์, สรีรวิทยา, พยาธิวิทยา, ประสาทกายวิภาคศาสตร์, หลักพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว, การนวด ดัด ดึง , การออกกำลังกายเพื่อการรักษา, การรักษาและการวินิจฉัยด้วยไฟฟ้า, ตัวกระทำทางฟิสิกส์ในการรักษา และกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยในภาวะต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการทำวิจัยก่อนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีอีกด้วย
เมื่อสำเร็จการศึกษา
นิสิตจะได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต ( กายภาพบำบัด ) และมีสิทธิสอบเพื่อรับใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งหากสอบได้ ก็จะสามารถทำงานเป็นนักกายภาพบำบัดในสถานที่ต่างๆ เช่น
- โรงพยาบาลของรัฐและเอกชน
- คลินิกกายภาพบำบัด
- ศูนย์ส่งเสริมสมรรถภาพร่างกาย (Fitness Center) หรือ สโมสร / สมาคมกีฬาต่างๆ
การศึกษาต่อ 
                     ผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิต (กายภาพบำบัด) สามารถเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาโทได้ทั้งในสาขากายภาพบำบัด, สรีรวิทยา, กายวิภาคศาสตร์, วิทยาศาสตร์การกีฬา  เป็นต้น  ในมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ นักกายภาพบำบัดยังสามารถศึกษาต่อในศาสตร์ทางกายภาพบำบัดจนถึงขั้นปริญญาเอก ซึ่งมีสถาบันการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, สวีเดน เป็นต้น ที่รับนิสิตเข้าศึกษาต่อในขั้นปริญญาเอกนี้










                                                                                                          เบญจมาศ  ทองบุตร



Cr.http://www.pt.ahs.chula.ac.th/blog-detail?id=9


ฤดูฝน


                     การแบ่งฤดูกาลในประเทศอินเดียมีความแตกต่างจากการแบ่งฤดูกาลในประเทศไทย เนื่องจากลักษณะภูมิอากาศไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ในประเทศอินเดียเองยังมีการแบ่งฤดูที่แตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่และลักษณะภูมิอากาศอีกด้วย
         


คัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา (บาลี) กล่าวถึงฤดูในประเทศอินเดียว่า มีการแบ่ง ๒ แบบ
          แบบแรกเป็นการแบ่งฤดูตามลักษณะภูมิอากาศของประเทศอินเดียทางภาคตะวันออกและภาคใต้ คือ แบ่งออกเป็น ๓ ฤดู ฤดูละ ๔ เดือน ได้แก่ ๑. เหมนฺต (เหมันต์) = ฤดูหนาว   ๒. คิมฺหาน (คิมหันต์) = ฤดูร้อน   ๓. วสฺสาน (วัสสานะ) = ฤดูฝน  
          ส่วนแบบที่ ๒ เป็นการแบ่งฤดูตามลักษณะภูมิอากาศของประเทศอินเดียทางภาคเหนือ คือ แบ่งออกเป็น ๖ ฤดู ฤดูละ ๒ เดือน ได้แก่ ๑. เหมนฺต (เหมันต์) = ฤดูหนาว   ๒. สิสิร (สิสิระ) = ฤดูหมอกหรือน้ำค้าง   ๓. วสนฺต (วสันต์) = ฤดูใบไม้ผลิ   ๔. คิมฺหาน (คิมหันต์) = ฤดูร้อน   ๕. วสฺสาน (วัสสานะ) = ฤดูฝน   ๖. สรท (สารท) = ฤดูใบไม้ร่วง



                   สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนนั้น พจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถานได้อธิบายการแบ่งฤดูกาลในประเทศไทยไว้ว่า แบ่งตามลักษณะภูมิอากาศออกได้เป็น ๓ ฤดู ฤดูละประมาณ ๔ เดือน ได้แก่ ๑. ฤดูหนาว (กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน)  ๒. ฤดูร้อน (กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม)  ๓. ฤดูฝน (กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม)
        
                     จะเห็นได้ว่าการแบ่งฤดูกาลในประเทศไทยนั้นคล้ายคลึงกับการแบ่งฤดูกาลในประเทศอินเดียภาคตะวันออกและภาคใต้ซึ่งอยู่ในเขตมรสุม คือ มี ๓ ฤดู ดังนั้น หากจะนำคำเรียกชื่อฤดูในภาษาบาลีสันสกฤตมาเทียบใช้แทนคำเรียกชื่อฤดูในภาษาไทย ก็สามารถเทียบใช้ได้ดังนี้
                    เหมันต์      =      ฤดูหนาว
                    คิมหันต์     =      ฤดูร้อน
                    วัสสานะ    =       ฤดูฝน
                        ในช่วงระยะเวลาตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน  ฝนตกแทบทุกวัน ไม่ใช่สิ ฝนตกทุกวัน และบางวันก็ตกตลอดทั้งวัน ข้อเสียของฝนคือ ทำให้รถติด น้ำท่วมขัง ทำให้คนขี้เกียจไปโรงเรียน ไปทำงาน ถ้าเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง บางแห่งอาจมีลมกระโชกแรง ต้องเตือนให้ทุกคนระวังด้วยนะ  แต่ข้อดีของฝนคือ ทำเกษตรกรคนไทย สามารถทำนา ทำการเกษตรอื่นๆได้เช่น ปลูกผัก  ทำสวนผลไม้ ทำให้เกษตรคนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น เลี้ยงชีวิตและครอบครัวได้






                                                                                                     เบญจมาศ  ทองบุตร




ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน  ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๕๖ มกราคม ๒๕๓๙

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

ตุ๊กตาน่ารักๆ

                        ฮัลโหล ฮัลโหล มีใครคนไหนไม่รู้จักตุ๊กตา หรือไม่มีตุ๊กตาบ้าง บอกเลย เชยมากๆค่ะ ตอนเด็กๆ เห็นตุ๊กตาที่ไหน ต้องร้องไห้งอแงอยากได้  ชอบมาก เด็กผู้หญิงหลายคนสะสมตั้งแต่เด็กจนโตก็เก็บสะสมตุ๊กตาไว้ ตอนเด็กๆนะ ดูการ์ตูนเรื่องไหน ก็จะชอบตัวการ์ตูนในเรื่องนั้น และก็อ้อนแม่ให้ซื้อตุ๊กตาแบบในการ์ตูนมาให้  ชอบจนต้องเอาไปนอนกอดด้วยทุกคืน ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ  คิดถึงสมัยตอนเป็นเด็กจัง มีความสุมมากๆเลย รู้จักตุ๊กตาพวกนี้หรือเปล่า  ยังจำได้ไหมเอ่ย


Doraemon

                    เชื่อว่าใครที่เป็นแฟนของหุ่นยนต์แมวอ้วนสีฟ้า แต่กลัวหนูและไม่มีหู มีกระเป๋าหน้าท้อง ในกระเป๋าใส่ของไว้ได้หลายอย่าง มีทุกอย่างที่เป็นเทคโนโลยีในอนาคต  ขวัญใจของเด็กทั่วโลกอย่าง Doraemon






และที่ลืมไม่ได้เลย คือ คู่หูของโดเรมอน โดบิตะ  ตัวการ์ตูนตัวนี้ก็มีความโดดเด่น มีความน่ารัก 





โนบิตะ


      Stitch




Stitch เป็นสัตว์ประหลาด หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การทดลอง 626  และ Stitch ก็มีคู่หู คือ Lilo หรือว่าเป็นเพื่อนกัน Stitch จะคอยดูแลและปกป้อง Lilo จากภัยอันตราย ทั้งสองตัวการ์ตูนนี้ รักกันมาก







Lilo



หมีพูห์

หมีพูห์ หรือ วินนี-เดอะ-พูห์ (Winnie-the-Pooh) เป็นตัวละครหมีที่สร้างขึ้นโดย เอ. เอ. มิลน์ และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1926 ในหนังสือเรื่อง วินนี-เดอะ-พูห์ และ เดอะเฮาส์แอตพูห์คอร์เนอร์ (1928) เนื้อเรื่องในหนังสือมีลักษณะคล้ายกับ ป่าแอชดาวน์ ในเมืองอีสต์ซัซเซก ในประเทศอังกฤษ โดยชื่อ วินนี มาจากชื่อตุ๊กตาหมีของทหารชาวแคนาดานายหนึ่ง ซึ่งตั้งตามชื่อเมือง วินนีเพก ในประเทศแคนาดา
นอกจากหมีพูห์แล้วเพื่อนในป่าที่ได้รับความนิยมได้แก่ พิกเลต ทิกเกอร์ แร็บบิท และ อียอร์ ต่อมา วอลต์ดิสนีย์ ได้นำวินนี-เดอะ-พูห์ มาจัดทำและได้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Winnie the Pooh (โดยไม่มีเครื่องหมายขีด) และหมีพูห์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของดิสนีย์ ทุกๆคนคงรู้จักกันดี หมีพูห์ยังเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆทุกหลาย และไม่ใช่แค่เด็กๆที่ชื่นชอบ นักเรียน นักศึกษาก็ชื่นชอบและเก็บสะสมการ์ตูน และตุ๊กตาหมีพูห์นี้อยู่







Mickey Mouse
  
               เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงเคยดูการ์ตูน มิกกี้ เม้าส์ (Mickey Mouse) มาตั้งแต่เด็ก ๆ จนเป็นเสมือนเพื่อนทางจินตนาการแสนรัก แต่ทราบกันไหมว่าเจ้าหนูชื่อดังระดับโลกตัวนี้ อายุอานามไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว เรียกได้ว่าเป็น คุณปู่มิกกี้ เม้าส์ ของหนูน้อยหลายล้านคนทั่วโลก และเนื่องในวันเกิดของ มิกกี้ เม้าส์ 18 พฤศจิกายน เราจะพาเพื่อน ๆ ไปย้อนรำลึกถึงการ์ตูนสุดคลาสสิกอย่าง "มิกกี้ เม้าส์" กันค่ะ




                มิกกี้ เม้าส์ เป็นตัวการ์ตูนของค่ายดิสนีย์ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1928 (พ.ศ. 2471) โดยวอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ และอับ ไอเวิร์กส เดิมทีพวกเขาเรียกมันว่า "มอร์ติเมอร์ เม้าส์" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อตัวการ์ตูนนี้ใหม่เป็นมิกกี้ เม้าส์ จากการแนะนำของภรรยาวอลท์ ดิสนีย์ เนื่องจากเธอเห็นว่ามันเป็นชื่อที่ดูจริงจังจนเกินไป







                                                                              เบญจมาศ  ทองบุตร


Cr.www.kapook.com



วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

อาชีพในฝัน

พยาบาล 



                 พยาบาลเป็นวิชาชีพที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย มักจะสวมชุดพยาบาลสีขาวและสวมหมวกที่มีลักษณะเฉพาะตัว พยาบาลพบได้ทั่วไปทำงานตามโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลอื่นๆ พยาบาลเป็นวิชาชีพที่ก่อนจะปฏิบัติงานจต้องผ่านการสอบขึ้นทะเบียนความรู้จาก สภาการพยาบาลก่อนจึงจะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยพยาบาลสามารถที่จะดูแลผู้ป่วยได้ตามหลักการพยาบาลที่ได้เรียนมา เป็นเวลา 4 ปีสำหรับพยาบาลวิชาชีพ และสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลมีมากมายในประเทศไทยทั้งที่สังกัดกระทรวง สาธารณสุขและเอกชน

นิยามอาชีพ

               ผู้ปฏิบัติอาชีพพยาบาล ทำหน้าที่ให้การรักษาพยาบาล และดูแลผู้ป่วยทั้งทางกายและจิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือทุพพลภาพ รักษาและป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพ วางแผนและให้บริการด้านพยาบาล และทำหน้าที่ช่วยแพทย์ ในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล


ลักษณะของงานที่ทำ

              รักษา ดูแล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพยาบาล เป็นผู้ช่วยแพทย์ โดยการสังเกต และบันทึกความเปลี่ยนแปลงในคนไข้ รายงานให้แพทย์ทราบถึงอาการของคนไข้ตามลักษณะโรคที่เป็นทั้งร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพของคนไข้ ช่วยคนไข้ให้ปรับตัวเข้ากับภาวะขัดข้องใดๆ ที่อาจเกิด จากการเจ็บป่วย จัดให้คนไข้ มีสิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขอนามัย ป้องกันและควบคุมการเผยแพร่ของโรคติดเชื้อ สอนคนไข้ และประชาชนทั่วไปให้รู้จักการดูแลและส่งเสริมสุขภาพวางแผน มอบหมาย สั่งการ ดูแล และประเมินผลงานของผู้ช่วยพยาบาล และผู้ทำหน้าที่ประสานงาน ร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ และอนามัยแขนงอื่นๆ ในการบริการคนไข้


สภาพการทำงาน


               ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน สถานพยาบาล(คลีนิค) สถานพักฟื้น สถานฟื้นฟู ดูแลรักษาสุขภาพ สถานสงเคราะห์ เด็ก หรือคนชรา สถานอนุบาลเด็กทารกหรือเด็กก่อนวัยเรียน สถานการศึกษา เช่น โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย สถานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม สถานีอนามัย/คลีนิคในชุมชนพยาบาลประจำบ้าน หรือส่วนบุคคล เป็นต้น


              สมัยเรียนมัธยมปลาย เรามีความฝันว่าในอนาคตเราก็อยากจะทำอาชีพพยาบาล เพราะเป็นอาชีพที่เราชื่นชอบ และยังสามารถช่วยคน ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อีกมากมาย และเหตุผลที่ทางบ้านไม่พร้อมด้านทุนทรัพย์และเหตุผลอีกหลายๆอย่าง  ถึงวันนี้อาจจะไมได้เรียนพยาบาลอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งเคยได้ไปฝึกงานที่โรงพยาบาล











                                                                                                           เบญจมาศ  ทองบุตร


Cr. http://more-mai.blogspot.com/2010/09/4-6360-7780-10600-7000-7600-13900-250.html